中文信息

BodyTite VS ดูดไขมันแบบเดิม? แตกต่างกันอย่างไร เรามีคำตอบค่ะ

BodyTite VS ดูดไขมันแบบเดิม? แตกต่างกันอย่างไร เรามีคำตอบค่ะ

 

ในบางครั้งไขมันตามส่วนต่างๆของร่างกายก็เป็นสิ่งที่กำจัดออกไปได้ยาก ถึงแม้จะออกกำลังกายและควบคุมอาหารอย่างดีแล้ว แต่ก็ดูเหมือนไขมันในบางส่วนจะไม่หายไปเลย สิ่งนี้อาจทำให้เรารู้สึกท้อและเสียความมั่นใจได้ การดูดไขมันหรือการสลายไขมันจึงเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถกำจัดไขมันตามส่วนต่างๆออกไปได้ดั่งใจคิด แต่การดูดไขมันนั้นก็มีหลายแบบค่ะ ในวันนี้ เฌอร์พราวด์จึงอยากนำเสนอหนึ่งในนวัตกรรมการสลายไขมันที่กำลังเป็นที่นิยมมากในตอนนี้ หรือ การดูดไขมัน BodyTite นั่นเอง  

 

BodyTite คืออะไร และแตกต่างจากการดูดไขมันดั้งเดิม (Traditional Liposuction) อย่างไร?  

การดูดไขมันแบบดั้งเดิม (Traditional Liposuction) เป็นการกำจัดเซลล์ไขมันเฉพาะจุดบนร่างกาย โดยการใส่ท่อขนาดเล็กมาก (เล็กประมาณปลายหัวปากกา) เข้าไปใต้ผิวหนัง จากนั้นจึงใช้พลังงานความร้อนเพื่อสลายเซลล์ไขมัน แล้วดูดไขมันออกมาผ่านท่อ (Suction)  
BodyTite มีวิธีการกำจัดไขมันในแบบเดียวกัน แต่ต่างกันที่ BodyTite จะใช้เทคโนโลยี RFAL (Radio-Frequency Assisted Liposuction) หรือ การใช้คลื่นความถี่วิทยุชนิด Bipolar ในการสลายเซลล์ไขมัน  

 

BodyTite ทำให้ผิวกระชับขึ้น?  

แต่ข้อดีจริงๆ ของ BodyTite ก็คือ การใช้เทคโนโลยี RFAL ที่จะช่วยกระชับผิวระหว่างการสลายไขมัน หรือผิวที่หย่อยคล้อยจากการลดน้ำหนักหรืออายุที่มากขึ้นค่ะ ผลสำรวจพบว่า 40% ของผู้ที่สลายไขมันด้วยนวัตกรรม BodyTite มีรูปร่างที่กระชับขึ้น เมื่อเทียบกับผู้ที่ดูดไขมันแบบเดิมค่ะ  

 

 

BodyTite VS ดูดไขมันธรรมดา ขั้นตอนต่างกันไหม?  

เมื่อเทียบกับการดูดไขมันแบบเดิมแล้ว การสลายไขมันด้วยนวัตกรรม BodyTite ทำให้มีแผลขนาดเล็กกว่ามากและไม่ต้องพักฟื้นหลังทำ อีกทั้ง BodyTite จะมีเพียงการฉีดยาชา (Local Anesthesia) บริเวณที่จะทำหัตถการเท่านั้น ในขณะที่การดูดไขมันธรรมดาต้องให้ยาสลบ (General Anesthesia) 

 

BodyTite VS ดูดไขมันธรรมดา การฟื้นตัวต่างกันอย่างไร?  

BodyTite จะสร้างแผลเป็นขนาดเล็กที่จะจางหายไปเมื่อผ่านไปสักพัก ในขณะที่การดูดไขมันธรรมดาสร้างแผลเป็นขนาดที่ใหญ่กว่า ยิ่งไปกว่านั้น เพราะมีขั้นตอนที่ต่างกัน เวลาฟื้นตัวจึงต่างกันไปด้วย โดยการดูดไขมันปกติมักทิ้งรอยบวมช้ำบริเวณที่ทำ ที่ทำให้รู้สึกไม่สบายตัวและอาจใช้เวลาหลายสัปดาห์จึงจะหาย ต่างจาก BodyTite ที่แม้จะมีรอยบวมช้ำเล็กน้อยก็ไม่กระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน  
การพักฟื้นตัวหลังการดูดไขมันปกติจะใช้เวลาประมาณ 7-14 วัน และนานกว่านั้นกว่าร่างกายจะรักษาตัวจนเป็นปกติ หรืออาจต้องใส่ชุดกระชับสัดส่วนนานถึง 6 สัปดาห์ ในทางกลับกัน ผู้ที่สลายไขมันแบบ BodyTite ส่วนใหญ่ใช้เวลาพักฟื้นตัวเพียง 2-3 วันเท่านั้น และหายดีภายในไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ แม้หลังการทำ BodyTite อาจจะต้องใส่ชุดกระชับสัดส่วน แต่ก็ใส่เพียงแค่ประมาณ 2 สัปดาห์เท่านั้น   

 

BodyTite VS ดูดไขมันธรรมดา ผลลัพธ์ต่างกันไหม?  

ในการทำหัตถการใดๆก็ตาม ผลลัพธ์ที่ได้ย่อมต่างกันออกไปตามแต่ละคน ในการดูดไขมันธรรมดา ผู้ป่วยส่วนใหญ่ใช้เวลา 3-9 เดือนถึงจะเห็นผล ในขณะที่การสลายไขมันแบบ BodyTite ให้ผลลัพธ์ทันทีหลังทำ และเห็นผลดีที่สุดใน 6 เดือน  

 

อย่างไรก็ตาม ผู้ที่สนใจควรปรึกษาแพทย์เพื่อหาวิธีการสลายไขมันที่เหมาะกับตัวเอง แม้ผู้เชี่ยวชาญหลายท่านจะสนับสนุนการสลายไขมัน BodyTite มากกว่า แต่ก็มีผู้ใช้บริการหลายท่านที่เลือกการสลายไขมันแบบธรรมดาเนื่องด้วยเหตุผลทางด้านร่างกาย  
 
 
 
 
สำหรับการสลายไขมันด้วยเทคโนโลยี BodyTite ที่เฌอร์พราวด์เรามีแพทย์เฉพาะทางมืออาชีพคอยให้บริการและดูแลทุกท่าน ทั้งในสาขาเชียงใหม่ และ เชียงราย โดยท่านที่สนใจ เรายินดีทำนัดหมายเพื่อขอคำปรึกษากับคุณหมอแบบส่วนตัวก่อนได้ค่ะ   
 
เรื่องไขมันส่วนเกินไว้ใจเฌอร์พราวด์ การันตีด้วย รีวิวสลายไขมัน BodyTite จากผู้ใช้บริการที่น่ารักทุกท่านค่ะ  

 

 

อ้างอิง 
BODYTITE VS LIPOSUCTION: LEARN THE DIFFERENCE 
คำถามยอดฮิต Q&A การดมยาสลบ 


บทความที่เกี่ยวข้อง